วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งานวิวาห์ของ ซีอีโอ ด้านธุรกิจ คิวเอสอาร์ และ พันธกิจความท้าทายทางการตลาดของ ซีอาร์จี

งานวิวาห์ของ ซีอีโอ ด้านธุรกิจ คิวเอสอาร์ และพันธกิจความท้าทายทางการตลาดของ ซีอาร์จี


ผู้เขียน: บุญชาย ทวีเติมสกุล
ลิขสิทธิ์บทความ: Copyright © 2009 Boonchai Thaveetermsakul




ไม่ใช่ "รหัสลับดาวินชี" หรอกครับ เกริ่นนำแบบใส่คำย่อให้งงเล่นอย่างนั้นเอง เป็นคำย่อของอะไรบ้าง เดี๋ยวจะเฉลยให้ทราบในย่อหน้าต่อไปครับ ใจเย็น ๆ

วันก่อนได้รับบัตรเชิญไปร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของเพื่อนสมัยเรียนที่ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ คุณธีระเดช จิราธิวัฒน์ (เอ็กซ์) กรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท CRG ในเครือเซ็นทรัล บุตรชายคนโตของ คุณสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงแรมและธุรกิจอาหารในเครือเซ็นทรัล กับ คุณอำไพพรรณ อมรวิวัฒน์ บุตรีของอดีตอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ. สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ (Centara Grand & Bangkok Convention Centre at CentralWorld) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา ผมก็ต้องขอขอบคุณสำหรับบัตรเชิญ และขอถือโอกาสแสดงความยินดีกับเพื่อนไว้ในบทความนี้ด้วย

เมื่อพูดถึงบริษัท CRG ถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงการตลาดพวกธุรกิจอาหาร หลายท่านก็อาจทำสีหน้างง ๆ "ไม่รู้จัก" แต่ถ้าเอ่ยถึงแบรนด์ดังต่าง ๆ เช่น มิสเตอร์ โดนัท (Mister Donuts), เคเอฟซี (KFC : Kentucky Fried Chicken), บาสกิ้น-ร้อบบิ้นส์ (Baskin-Robbins), อานตี้ แอนส์ (Auntie Anne's), เปปเปอร์ ลันช์ (Pepper Lunch) และ เบียร์ด ปาปาส์ (Beard Papa's) หลาย ๆ ท่านต้องถึงกับร้อง "อ๋อ! รู้จักสิ!" ขึ้นมาทันที เพราะในสังคมที่เร่งรีบ ซึ่งผู้คนไม่มีเวลาทำอาหาร หรือ ไม่ชอบทำอาหารทานเอง หรือ แม้แต่ทำอาหารไม่เป็น เฉกเช่นในปัจจุบัน อาหารจานด่วนพวกฟาสต์ฟู้ด (Fastfood) เหล่านี้ จึงมีความสำคัญ แทบจะเป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และบริษัท CRG (ซีอาร์จี) หรือ บจ.เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (Central Restaurants Group) ก็คือ บริษัทในเครือเซ็นทรัล ที่เป็นบริษัทผู้รับสิทธิ (Franchisee) ในการบริหาร และจัดการธุรกิจอาหารบริการด่วน (หรือ ธุรกิจอาหารจานด่วน Quick Service Restaurants : QSR นั่นแหละ) ของแบรนด์ดัง ๆ หลากหลายแบรนด์ (Multi-Brand) ที่เอ่ยนามมาดังกล่าวข้างต้น ในประเทศไทย นั้นเอง

ถ้าเราแบ่ง อาหารจานด่วน เป็น 2 ประเภทหลัก คือ อาหารประเภทมื้อหลักทานอิ่ม (Full Meal Fastfood) ได้แก่ อาหารหลักที่มีส่วนประกอบของแป้ง (ขนมปัง พิซซ่า มันฝรั่งทอด มันฝรั่งอบ มันฝรั่งบด ตลอดจนรวมถึง ข้าว อาหารหลักของคนไทย) เนื้อสัตว์ (แฮม ไส้กรอก เบคอน ไก่ย่าง ไก่ทอด) และผักต่าง ๆ จัดเป็นชุด: ชุดเล็ก และ ชุดใหญ่ (เมื่อเพิ่มเงินอัปเกรด อีกนิดหน่อย - เป็นหลักการจูงใจแบบ Up Selling หรือ การซื้อต่อยอดเพื่อสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ครับ อิ อิ) กับ อาหารประเภทอาหารว่างทานเล่น (Snack Fastfood) ทั้งอาหารหวานและคาว ตั้งแต่ ไอศครีมจนถึงขนมเค้ก โดนัท ชนิดนุ่มและกรอบ หวานและเค็ม พ่วงด้วยเครื่อง ดื่มรีเฟรชเมนต์เพื่อเพิ่มความสดชื่น ประเภท กาแฟ ชา น้ำโซดาอัดลม น้ำดำ น้ำสี น้ำใส ต่าง ๆ ทั้งร้อนและเย็น (หมายเหตุ : - ไม่นับรวมของพรีเมี่ยม ของเล่น ของแถม Gimmick ต่าง ๆ ที่เป็นลูกเล่นทางการตลาดอีกต่างหาก จนหลาย ๆ ครั้ง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ แบรนด์นำตลาดบางรายในธุรกิจประเภทนี้ว่า เป็นการขายของเล่นพ่วงอาหาร มากกว่า เป็นการขายอาหารพ่วงของเล่น) แล้วนั้น จะพบว่า CRG ก็มีแบรนด์สินค้าชั้นนำอยู่ในมือ ที่ครอบคลุมเซ็กเม้นท์ตลาดอยู่ทั้ง 2 ประเภท :



  • อาหารประเภทมื้อหลักทานอิ่ม : ได้แก่ แบรนด์ดังชั้นนำอย่าง "เคเอฟซี" แฟรนไชส์อาหารจานหลักประเภทไก่ทอดที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในธุรกิจประเภทคิวซีอาร์ทั้งหมด และ "เปปเปอร์ ลันช์" ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ที่เสิร์ฟบนจานร้อนถึงโต๊ะคุณ


  • อาหารประเภทของว่างทานเล่น : ได้แก่ แบรนด์ "มิสเตอร์ โดนัท" ผู้นำตลาดโดนัทในเมืองไทย, "อานตี้ แอนส์" ร้านขายอาหารประเภทขนมซอฟต์เพรทเซล (Soft Pretzel), "บาสกิ้น-ร้อบบิ้นส์" แบรนด์ดังด้านของหวานทานเล่นประเภทไอศกรีมเลิศรส และ "เบียร์ด ปาปาส์" ผู้นำด้านตลาดขนมครีมพัฟ เบเกอรี่และพาสตรี้ต่าง ๆ เป็นต้น


ปฏิเสธไม่ได้ว่า แบรนด์ดังชั้นนำในธุรกิจ QSR เหล่านี้ สามารถประสบความสำเร็จอย่างมาก ก็เพราะการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของ CRG ซึ่งให้ความสำคัญกับลูกค้า และตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างสอดคล้อง ผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดที่เรียกว่า CRM (Customer Relationship Management : การบริหารจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์) ภายใต้พันธกิจองค์กร (Corporate Mission) และวิสัยทัศน์ (Corporate Vision) ของ คุณธีระเดช จิราธิวัฒน์ ในฐานะซีอีโอของ ซีอาร์จี ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน ได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้ในงานแถลงข่าวเปิดตัวผู้บริหารใหม่ ว่า มีความคิดที่จะรวมหน่วยงานด้านนี้ของทุกแบรนด์เข้าด้วยกันที่ เซ็นทรัลสีลม สำนักงานใหญ่ เพียงแห่งเดียว เพื่อให้ หน่วยงานสนับสนุน Back-Office ของทุกแบรนด์ มีการประสานการทำงาน มีความคล่องตัว สะดวก และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และกำหนดเป้าหมายว่า จะเป็นผู้นำในธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย และจะขยายสาขาให้มีเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 700 สาขา ใน 6 แบรนด์นำที่มีอยู่ ด้วยอัตราการขายประจำปี มากกว่า 8,000 ล้านบาทในปี 2553

กลยุทธ์ทางการตลาดทางการจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ได้ถูกนำมาใช้ เพื่อให้สามารถเข้าใจถึง บริบทของสังคมไทย ทางด้านการบริโภค และ ไลฟ์สไตล์ (Life Style) ในชีวิตประจำวัน ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน อันได้แก่ การเน้นบริโภคอาหารจานด่วน ทานสะดวก รวดเร็วทันใจ อร่อยถูกปาก สะอาด มีคุณภาพ และ บริการที่ดี บรรยากาศในร้านดี มีความทันสมัย ตกแต่งสวยงาม ดูสะอาดตา ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาเหล่านี้ จากผลงานวิจัย พบว่า สาเหตุเนื่องมาจากวิถีชีวิตในสังคมและสภาพแวดล้อมที่เร่งรีบและแข่งกับเวลามากขึ้น ประกอบอาชีพอยู่ที่ทำงาน จับจ่ายและเดินเที่ยวอยู่ในห้างสรรพสินค้า ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกบ้าน และเดินทางบนท้องถนนที่มีการจราจรติดขัดมากกว่าอยู่ที่บ้าน นอกจากนี้ยังสืบเนื่องมาจากความพึงพอใจผู้บริโภค และรสนิยมความทันสมัย มาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ดูดีมีรสนิยม ดูเป็นคนทันสมัย สินค้ามีแบรนด์ ทุกคนก็รู้จัก ทุกคนก็ทาน อยู่ในทำเลสะดวก ในศูนย์การค้าที่ผู้คนชอบเดินเที่ยว เป็นที่นัดพบปะสังสรรค์ บรรยากาศดี สะอาด แอร์เย็นฉ่ำ เป็นต้น

หากมองทางด้าน แผนพันธกิจ (Mission Plan) ที่ตั้งเป้าสำหรับกลุ่ม CRG ว่า จะขยายสาขาสำหรับให้บริการอาหาร และเครื่องดื่มสำหรับทุกแบรนด์ ครอบคลุมกว่า 700 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย และสร้างรายได้จากยอดขายไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท ในสิ้นปี 2553 นั้น ก็คงต้องบอกว่า ยังห่างไกลจากเป้าหมายอีกมาก (หมายเหตุ: - อ้างถึง "ข่าวประชาสัมพันธ์ : แถลงวิสัยทัศน์ผู้บริหารใหม่ ของ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ที่ โรงแรม เซ็นทรัลพลาซ่า ณ วันที่ 12 กันยายน 2548 - แหล่งข้อมูล: เว็บไซต์ Newswit.Com ) แต่ถ้าคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นปัจจัยลบต่อการดำเนินธุรกิจ จำนวนสาขาทั้งหมด 486 สาขา รายได้จากยอดขาย 4,600 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 (ระยะเวลาผ่านมาแล้ว 3 ใน 5 ส่วนของแผน จำนวนสาขาขยายได้ ประมาณ ร้อยละ 69 และ รายได้ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 58 ของยอดประมาณการ ณ สิ้นปี 2553) ก็นับว่าไม่เลวนัก แต่เรียกว่า คงต้องเหนื่อยและอีกยาวไกลมากหากจะให้ได้ ใกล้เคียง หรือ ตรงตามเป้าหมายที่ได้ประมาณการไว้ ครับ

สรุปสุดท้ายนี้ ผมก็ได้เฉลยไปหมดแล้ว สำหรับคำย่อ ซีอีโอ (CEO : Chief Executive Officer กรรมการผู้จัดการใหญ่ : ศัพท์บัญญัติของพวก MBA ฝากฝั่งสหรัฐอเมริกา ถ้าภาษาอังกฤษแบบสหราชอาณาจักรฯ ก็ต้องเรียก MD : Managing Director), คิวเอสอาร์ (QSR) และ ซีอาร์จี (CRG) ผมคงไม่มีอะไรติดค้างท่านผู้อ่านให้เป็นที่ค้างคาใจน๊ะครับ แต่เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านหลายท่านคงทำหน้าผิดหวัง "เฮ้ย! ไม่ใช่ข่าวสังคมบันเทิง ซุบซิบไฮโซ เม้าท์เซเลบ (Celebrities Gossip) นี่หว่า" มีหลาย ๆ ท่านที่อาจไม่ได้สนใจในส่วนเนื้อหาประเภท เกร็ดย่อยการตลาดธุรกิจอาหารบริการด่วน ในบทความนี้ แต่สนใจ ข่าวงานวิวาห์ ของ คุณเอ็กซ์ กับ คุณเก๋ (คุณอำไพพรรณ) มากกว่า ผมก็ขอแนบ ลิ้งค์ต่าง ๆ ที่จะนำท่านไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ (เท่าที่ผมทราบ หรือ ค้นหาข้อมูลพบ) และเรื่องที่เกี่ยวกับ คุณ ธีระเดช จิราธิวัฒน์ (Thiradej Chirathivat) และ ซีอาร์จี (CRG) ไว้ท้ายบทความข้างล่างนี้มาด้วยแล้ว เพื่อเอาใจท่านทั้งหลายที่ชื่นชอบ ข่าวบันเทิงเซเลบบิตี้ ครับ อิ อิ








สนับสนุน บทวิเคราะห์ข่าว ธุรกิจอาหารบริการด่วน โดย :








บทความนี้ เขียนโดย: บุญชาย ทวีเติมสกุล - © 2009 Boonchai Thaveertermsakul



เกี่ยวกับผู้เขียน:

บุญชาย ทวีเติมสกุล เป็น นักเขียนอิสระ มีผลงานการเขียนที่เป็น บทความวิชาการ และเรื่องทั่วไป ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ลงเผยแพร่บทความทางอินเตอร์เน็ด เว็บไซต์ และ บล็อกต่างๆ อาทิ i-Prosper , i-Technology News , OZ OmniscienceZ , Erudite Owl , Neo Liners International Blog , Multi Leaves , i-NeoTech , และ i-NeoZone เป็นต้น

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อะไรคือ Bing อะไรคือ Jing กันแน่หว่า

อะไรคือ Bing อะไรคือ Jing กันแน่หว่า

ผู้เขียน: บุญชาย ทวีเติมสกุล
ลิขสิทธิ์บทความ: Copyright © 2009 Boonchai Thaveetermsakul



“เฮ้ย ไอ้แดน เอ็งได้ลองใช้ Jing เสิร์ช หาข้อมูลดูหรือยัง ? เผื่ออาจจะเจอ สิ่งที่เอ็งกำลังหาอยู่ก็ได้ ?”
“เปิ้ลว่า จะช่วยแดน โดยใช้ Bing จับภาพหน้าจอ และเมล์ไปให้ พี่ไพบูลย์ ดู ว่าสามารถหาข้อมูลตัวนี้มาได้หรือเปล่า? พี่ไพบูลย์แกประสบการณ์เยอะ แกดูทีเดียวก็รู้ จะได้ไม่ต้องไปเสิร์ชหาเอง เพราะถ้าคีย์เวิร์ดไม่ถูกก็อาจจะหาไม่เจออยู่ดี”

ผู้เขียนฟังจากบทสนทนาข้างต้นของบรรดาลูกน้องในออฟฟิศ แล้ว รู้สึกเหมือนๆ กับว่า พวกเขาและเธอพยายามจะใช้เทคโนโลยี่ใหม่ๆ บนโลกไซเบอร์อินเตอร์เน็ตอย่างรอบรู้และทันกระแส ดูแล้ว ช่างอินเทรนทั้งสามคน แต่ปรากฏว่า ถ้าไม่ผิดทั้งหมด ก็ได้แค่ถูกครึ่งเดียว ผู้เขียนรู้สึกว่า ลูกน้องที่ออฟฟิศของผู้เขียนจะยังสับสนในความแตกต่างระหว่าง Bing กับ Jing อยู่ เพราะว่า เดี๋ยวนี้ วิทยาการ เทคโนโลยี่ ไอที และอินเตอร์เน็ต เจริญก้าวหน้า เปลี่ยนแปลง และพัฒนาไปเร็วและไวมาก มีผลิตภัณฑ์ โปรแกรม และ แอพพลิเคชั่น ต่างๆ ออกมา มากมายตลอดเวลา ถ้าไม่ติดตามสักระยะ ก็จะมีผลให้เป็นพวกเอ้าท์ (พวกล้าหลัง) ไป ยกตัวอย่าง เช่น เจ้า Bing และ เจ้า Jing ที่กล่าวมาข้างต้นนี้แหละ ความจริงแล้ว ทั้งสองเป็นแอพพลิเคชั่นใหม่ ที่เริ่มใช้กันบนอินเตอร์เน็ตมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ชื่อคล้ายๆ กัน แต่ทำงานกันคนละอย่าง ครับ

Bing คือ เสิร์ชเอ็นจิ้น ตัวใหม่ของ บริษัท Microsoft เปิดตัวในเดือน พฤษภาคม 2552 สร้างความฮือฮาให้กับวงการเป็นอย่างมาก ตามด้วยความสำเร็จในการควบรวม Yahoo! มาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท โดยทาง Microsoft ต้องการจะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ทั้งสอง (Bing และ Yahoo! Search ) ให้แตกต่างกันในแง่ทางด้านยุทธศาสตร์การตลาด และหวังว่าการผนึกกำลังกันในครั้งนี้ จะสามารถช่วยให้ทาง Microsoft สามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาจาก Google ได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในปัจจุบัน Google นั้นเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดทางด้านเสิร์ชเอ็นจิ้น สูงสุดอยู่ ณ ขณะนี้ ถ้าเริ่มเบื่อ Google และ Yahoo! แล้ว ก็ลองไปทดลองใช้ เสิร์ชเอ็นจิ้น ตัวนี้ดูได้ที่ http://www.bing.com/

ในขณะที่ Jing คือ โปรแกรมแจกฟรี สำหรับ่ให้ใช้ในการจับภาพ (capture) วิดีโอภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมบันทึกเสียงพูดจากไมโครโฟน โดยสามารถบันทึกได้ความยาวไม่เกิน 5 นาที และเก็บไฟล์ในรูปแบบไฟล์วิดีโอนามสกุล swf หรือ ใช้ในการจับภาพนิ่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และบันทึกเป็นไฟล์รูปแบบนามสกุล png ซึ่งเป็นไฟล์ภาพที่มีการบีบอัดแบบคงคุณภาพ ผู้พัฒนาโปรแกรมนี้ คือ TechSmith ซึ่งมีผลงานก่อนหน้านี้ ได้แก่ โปรแกรมระดับคุณภาพ เช่น Camtasia Studio ใช้จับภาพ วิดีโอ และ Snagit ใช้จับภาพนิ่งบนคอมพิวเตอร์ อันเลื่องชื่อโดยทั้งสองโปรแกรมที่กล่าวมา มีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Jing แต่มีคุณสมบัติที่เหนือกว่ามาก แต่โปรแกรม Jing เองก็มีข้อดีอันเป็นคุณสมบัติเด่นเฉพาะตัว คือ มีความคล่องตัวใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถอัฟโหลดวิดีโอขึ้นไปไว้ที่ เว็บ screencast.com หรือไว้ที่เว็บไซต์อื่นๆ ที่เรามีสิทธิ์อัฟโหลดขึ้นไปด้วยการ FTP เป็นต้น ถ้าอยากลองหามาใช้ดูบ้าง ก็ลองไปดาวน์โหลดมาทดลองใช้กันฟรีได้ที่ http://www.jingproject.com/


สรุปว่า ลูกน้องของผู้เขียนที่ออฟฟิศพยายามอวดภูมิความรู้ทางคอมพิวเตอร์ใส่กัน แต่พูดสลับกันครับ อิอิ



บทความนี้ เขียนโดย: บุญชาย ทวีเติมสกุล - © 2009 Boonchai Thaveertermsakul



เกี่ยวกับผู้เขียน:

บุญชาย ทวีเติมสกุล เป็น นักเขียนอิสระ มีผลงานการเขียนที่เป็น บทความวิชาการ และเรื่องทั่วไป ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ลงเผยแพร่บทความทางอินเตอร์เน็ด เว็บไซต์ และ บล็อกต่างๆ อาทิ i-Prosper , i-Technology News , OZ OmniscienceZ , Erudite Owl , Neo Liners International Blog , และ Multi Leaves เป็นต้น

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประเทศไทยน่าจะมีวันแต่งกายชุดประจำชาติ

ประเทศไทยน่าจะมีวันแต่งกายชุดประจำชาติ :

ผู้เขียน: บุญชาย ทวีเติมสกุล
ลิขสิทธิ์บทความ: Copyright © 2009 Boonchai Thaveetermsakul



วันก่อนได้ดูข่าวต่างประเทศ ในช่วงฤดูร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น เขามีวันแต่งกายชุดประจำชาติของเขา คนญี่ปุ่นทั้งชาย และ หญิง จะพร้อมใจกันใส่ชุดประจำชาติ ผู้หญิงญี่ปุ่นจะใส่ชุด ยูคาตะ แบบที่เป็นชุดดั้งเดิม และชุดแบบประยุกต์ร่วมสมัย ออกมาเดินไปมาตามท้องถนน และตามที่ต่าง ๆ ได้อย่างไม่เคอะเขิน ทักทายกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแสดงให้เห็นถึงความภูมิใจในชุดประจำชาติของเขาอย่างมากอีกต่างหาก ดูไปแล้วช่างน่าอิจฉาว่า คนญี่ปุ่นนั้นเขาช่างมีความรักในชาติ รักในศิลปะประจำชาติของเขา ตลอดจนยังคงช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของเขาอย่างเข้มแข็งต่อเนื่องมาโดยตลอด

สำหรับท่านผู้อ่านที่สงสัยว่า ชุด ยูคาตะ (Yukata) แตกต่างจาก ชุด กิโมโน (Kimono) อย่างไรนั้น ผู้เขียนขอกล่าวโดยสรุปเป็นเกร็ดความรู้เล็กน้อย ดังนี้ คือ ชุดยูคาตะ ส่วนใหญ่จะเป็นชุดที่ตัดเย็บมาจากผ้าฝ้าย และสามารถสวมใส่ได้ในฤดูร้อน มักใช้ในงานเทศกาล ส่วนชุด กิโมโน นั้น มักใช้เนื้อผ้าสวยงามอย่างดีนำมาตัดเย็บ โดยทำมาจากผ้าไหมราคาแพง มีหลายชั้น เวลาใส่ต้องมีความชำนาญ ใช้ใส่ใน งานพิธีการ ต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานปีใหม่ งานฉลองการบรรลุนิติภาวะ เป็นต้น ชุดกิโมโน มีราคาค่อนข้างสูง บางชุดราคาอาจสูงถึง ล้านเยนก็มี ผู้ใหญ่จึงนิยมมอบเป็นมรดกตกทอดให้แก่ลูกหลาน เนื่องจากชุดกิโมโนประกอบด้วยผ้าหลายชั้น ต้องมีขั้นตอนวิธีการใส่ และการผูกโอบิที่ถูกต้อง จนถึงขั้นต้องมีโรงเรียนสำหรับสอนการสวมใส่กิโมโนและผูกโอบิให้กับคนรุ่นใหม่ กันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆ ประเทศก็เช่นกัน ที่คนในชาติของเขา ยังนิยมแต่งกายชุดประจำชาติของเขาอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย กับชุดส่าหรี หรือ เกาหลี กับชุดฮันบก ฯลฯ ดุแล้วก็น่าชื่นชมในการรักษา และ ดำรงวัฒนธรรม และอนุรักษ์ประเพณีของชาติเขาไว้

สำหรับผู้อ่านหลายท่านอาจคิดว่า ชุดไทยใส่ยาก กลัวใส่ไม่เป็น กลัวใส่ไม่ถูก ใส่แล้วอึดอัด เนื้อผ้าไม่เหมาะสมกับการนำมาใส่กันเป็นปกติในชีวิตประจำวัน น่าเขินอาย ฯลฯ แต่ผู้เขียน อยากฝากความคิดเห็น เป็นข้อคิดสักเล็กน้อยว่า อย่ากลัว หรือปริวิตกใดใดไปก่อนกาลเลย มันคงไม่ยากไปกว่าการใส่ชุดกิโมโนของญี่ปุ่นที่มีหลายชิ้น หลายชั้น สักเท่าใดหรอก หรือ ถ้ากลัวใส่ไม่ถูก ก็ลองไปถามผู้หลักผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายาย หรือ ผู้รู้ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คงจะเต็มใจที่จะบอกกล่าว แนะนำ และสอนเรา ด้วยความดีใจ และภูมิใจในตัวลูกหลาน

ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษา กระทรวงท่องเที่ยว ฯลฯ ก็ควรให้ความสนใจ ประชาสัมพันธ์ ให้การช่วยเหลือ และสนับสนุนส่งเสริม ให้มีการแต่งชุดประจำชาติไทยในโอกาสต่างๆ และ ให้มีการเปิดเป็นโรงเรียนสอน หรือ เปิดเว็บไซต์ ทำบล็อก แนะนำ ขั้นตอนวิธีการแต่งกาย และการเลือกใส่ ชุดต่างๆให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและเทศกาลต่างๆ

ส่วนเรื่องข้ออ้างที่กล่าวว่า เมืองไทยอากาศร้อน ใส่แล้วร้อน ใส่แล้วอึดอัด หรือ ใส่ชุดไทยที่มีลักษณะเป็นพิธีการไม่ไหว ผู้เขียนก็ขอแนะนำว่า ชุดไทยมีมากมาย หลากหลายสามารถเลือกหา ประเภท รูปแบบ และเนื้อผ้า ให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ ฤดูกาล และอากาศ ได้ หรือจะประยุกต์ให้ดูร่วมสมัยขึ้น เหมือนอย่างที่คนญี่ปุ่นเขามีการออกแบบชุดยูคาตะให้ดูทันสมัย ใส่ง่าย ถูกใจวัยรุ่น และคนรุ่นใหม่ (แต่ขอให้มีกรอบที่ชัดเจนในการประยุกต์ ไม่ใช่ล้ำยุค หลุดโลกแฟชั่นไปเลย ก็แล้วกัน) มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายท่านพอทราบไหมครับว่า ชุดประจำชาติไทย หลัก ๆ ที่เป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง มีกี่ชุด กี่แบบ อะไรบ้าง

ชุดประจำชาติ ไทย หลักๆ มี ด้วยกัน 8 แบบ ได้แก่ :



  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยเรือนต้น

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยจิตรลดา

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยอมรินทร์

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยบรมพิมาน

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยจักรี

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยจักรพรรดิ์

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยศิวาลัย

  • ชุดประจำชาติ :: ชุดไทยดุสิต

ชุดไทยต่างๆ เหล่านี้ มี รูปแบบ แตกต่างกันไป สามารถเลือกหา มาใช้ใส่แต่งกายให้เหมาะสมกับ กาละเทศะ และให้เหมาะกับเทศกาลงานต่างๆ ได้ ส่วนชุดไทยเหล่านี้มีลักษณะรูปแบบ รายละเอียดแตกต่างกันอย่างไร ผู้เขียนจะมาอธิบายขยายความในโอกาสต่อๆไปครับ

ส่วนประเด็นสุดท้ายในเรื่องของความเขินอายนั้น ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ ปลูกฝังจิตสำนึกด้านบวกที่ถูกต้องให้กับคนในชาติ เพราะว่า การสวมใส่ชุดแต่งกายประจำชาติควรเป็นเรื่องของความภูมิใจ ไม่ใช่เรื่องของความน่าอับอายแต่อย่างไร

มาถึงตรงนี้แล้ว ผู้เขียนก็ขอวกกลับมาที่หัวข้อของบทความนี้ที่ได้เปิดประเด็นไว้ นั้นคือ ถึงเวลาแล้วที่ ประเทศไทยน่าจะมีวันแต่งกายชุดประจำชาติแล้วหรือยัง? หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวัฒนธรรมน่าจะมี โครงการ หรือ แนวคิด ริเริ่มทำดู ให้ประเทศไทย มีวันแต่งกายชุดประจำชาติไทย สักหนึ่งวัน ไม่ทราบว่า จะมีความเป็นไปได้บ้างไหม? มีสิ่งใดบ้างที่จะเป็นอุปสรรค?
ผู้เขียนคิดว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ลองจัดทำแบบสำรวจความคิดเห็น หรือจัดทำประชามติของคนไทยทั้งประเทศกันดูสักที ก็น่าจะดีเหมือนกัน? (หาเวลาทำเรื่องสร้างสรรค์กันบ้าง ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันดูบ้าง เผื่อจะทำให้คนไทยมีความรักในชาติ และสร้างให้เกิดความสมานฉันท์ของคนในชาติ ขึ้นมาบ้าง -- ประโยคในวงเล็บ เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน)

เราจะดำรงความเป็นไทยไว้ได้อย่างไร ถ้าไร้รากเง้าที่หยั่งลึกของตัวเราเอง?


บทความนี้ เขียนโดย: บุญชาย ทวีเติมสกุล - © 2009 Boonchai Thaveertermsakul



เกี่ยวกับผู้เขียน:

บุญชาย ทวีเติมสกุล เป็น นักเขียนอิสระ มีผลงานการเขียนที่เป็น บทความวิชาการ และเรื่องทั่วไป ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ลงเผยแพร่บทความทางอินเตอร์เน็ด เว็บไซต์ และ บล็อกต่างๆ อาทิ i-Prosper , i-Technology News , OZ OmniscienceZ , Erudite Owl , Neo Liners International Blog , และ Multi Leaves เป็นต้น

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปฐมบท แห่ง "ใบไม้หลายกำ"

ปฐมบท แห่ง "ใบไม้หลายกำ"

ผู้เขียน: บุญชาย ทวีเติมสกุล
ลิขสิทธิ์บทความ: Copyright © 2009 Boonchai Thaveetermsakul



มาคุยกันก่อน.....

ใบไม้หลายกำ (Bai Maai Laai Gum -- Multi Leaves) ? ชื่อนี้มาได้อย่างไร ?
ก่อนอื่นขอกล่าวคำทักทาย และ สวัสดี เพื่อนๆ นักท่องเว็บ เพื่อนนักอ่าน เหล่าบล็อกเกอร์ ทั้งหลาย ทั้งที่ตั้งใจแวะมาดู ผ่านมาดู หรือโผล่เข้ามาดูโดยบังเอิญ จากลิ้งค์ต่างๆ ส่งมา หรือ จากท่านอาจารย์กู้ (ก็ท่านอาจารย์ กูเกอร์ เซิร์ท -- Google Search นั้นแหละ) ส่งมา หรือมาจาก บรรดา เซิร์ท เอนจิ้น ต่างๆ อีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยถึง ณ ที่นี้

สำหรับที่มาที่ไปของบล็อกนี้ ความตั้งใจแรกเริ่มเดิมทีของผู้เขียนนั้น อยากมีพื้นที่ว่างสักที่ไว้เก็บไดอารี่ชีวิต ไว้เก็บความรู้ ความทรงจำต่างๆ ของตัวเราที่เก็บเล็กผสมน้อยมา เป็นเสมือนการย่อยข้อมูล ตกผลึกความคิด บันทึกช่วยจำ ความทรงจำดีๆ ในชีวิต ประสบการณ์ชีวิต และอื่นๆ อีกมากมายในชีวิต ฯลฯ และเป็นพื้นที่สำหรับแสดงความคิดเห็นส่วนตัว อย่างอิสระ (หมายเหตุ -- แต่สุดท้ายเพื่อน ๆ นักท่องเว็บแห่งดินแดนไซเบอร์ ทั้งหลาย มากมายหลายๆ คน ก็นำเนื้อหา หรือข้อมูลบางอย่างที่อยู่บนบล็อกแห่งนี้ นำไปอ้างอิงเชิงวิชาการ ส่วนเด็กๆ นักเรียนทั้งหลายก็นำไปทำการบ้านส่งคุณครู (เช่น ลูกๆ ของข้าพเจ้า เป็นต้น) นิสิตนักศึกษา ก็นำไปทำรายงานส่งอาจารย์ และอ้างอิงแหล่งข้อมูลว่ามาจากบล็อกนี้ เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงต้องหมั่นเข้ามาปรับปรุงอัพเดต ข้อมูล บทความเก่าๆ บางเรื่อง contents และ articles ต่างๆ โดยได้ทำการแก้ไขเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง ให้ถูกต้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนตรงไหนเป็นการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัว เป็นบทวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ของตัวผู้เขียนเอง ผู้เขียนจะพยายามใส่หมายเหตุ และ/หรือ ใส่วงเล็บเอาไว้ให้ก็แล้วกัน โดยจะพยายามทำให้เท่าที่จะทำได้น๊ะครับ เพราะฉะนั้น กรุณาใช้วิจารณญาณส่วนตัวประกอบการตัดสินใจด้วย ครับ ) ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้ทำตัวเป็นชาวบล็อกเกอร์อีกคน และได้ทำการสร้างและจัดทำบล็อกนี้ขึ้นมา

แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับ "ใบไม้หลายกำ" ?
มาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านทุกท่านก็ยังคงมีปัญหาค้างคาใจอยู่ ถึงที่มาของชื่อ บล็อกแห่งนี้ ซึ่งผู้เขียนกำลังจะเฉลยให้ทราบ ณ ที่นี้ครับ

อันที่จริงแล้ว "ใบไม้กำมือเดียว" เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในพุทธศาสนา กล่าวคือ เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ กับพระภิกษุทั้งหลายกำลังเดินกันอยู่ในป่า พระพุทธองค์ได้ทรงกอบใบไม้ที่มีมากมายเกลื่อนกลาดอยู่ขึ้นมากำมือหนึ่งและทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ใบไม้ในกำมือนี้มากหรือน้อยเมื่อเทียบกับใบไม้หมดทั้งป่า ภิกษุทั้งหลายก็ตอบว่า ใบไม้ทั้งป่ามีอยู่มากกว่ากันมากจนมิอาจนำมาเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมาก เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องที่จำเป็นที่ควรรู้ ควรนำมาสอน และนำมาปฏิบัติ อันได้แก่ "เรื่องการดับทุกข์" นั้น เท่ากับใบไม้กำมือเดียว สรุปความ คือ พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรม ว่า อันองค์ความรู้ ความจริง ต่างๆ นานา ในสากล จักรวาลนั้น มีมากมายเหลือคณานับดุจใบไม้ในป่าใหญ่ (แบ่งเป็นศาสตร์ความรู้เฉพาะในเรื่องต่างๆ ก็คงได้อีกหลายเรื่อง หลายหมวด คงเป็น "ใบไม้ได้อีกหลายกำมือ" -- ผู้เขียนเปรียบเอง) แต่องค์ความรู้อื่นๆ อีกมากมายเหล่านั้น พระพุทธองค์มิได้ให้ความสนใจ หรือให้ความสำคัญที่จะนำมาสอน แต่ได้เลือกมาเพียงใบไม้เพียงกำมือเดียว มาสอนเนื่องจากใบไม้กำมือเดียวนี้ คือ "ทางแห่งความหลุดพ้น" ส่วนอื่น ๆ นั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อความหลุดพ้นจึงมิได้นำมาสอน ...ดั่งคำกลอนของท่านพุทธทาสที่ว่า :


กลอน "ใบไม้กำมือเดียว"


สัพพัญญูรู้ทั่วไป เปรียบใบไม้หมดทั้งป่า
แต่เลือกคัดเอามา สอนชี้นำกำมือเดียว ฯ

โดย.. ท่านพุทธทาสภิกขุ


แต่ตัวผู้เขียนนั้น ยังคงมิได้หลุดพ้น ยังคงวนเวียนอยู่ในสงสารวัฏ ก็ยังคงเสียดาย บรรดาองค์ความรู้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เรื่อง ปกิณกะ ตลอดจนเรื่องต่างๆ ในชีวิต ฯลฯ จึงขอเก็บตก กอบใบไม้รวบมันมารวมเป็นกองเข้าด้วยกันเป็นหมวดหมู่ เป็นใบไม้อีกสักหลายๆ กำ ไว้ศึกษา ตามประสาของคนใฝ่รู้ แม้ว่าเรื่องเหล่านี้อาจมิใช่แก่นสาระสำคัญ แห่งการนำไปสู่การดับทุกข์ ดังธรรมอันประเสริฐแห่ง พระสมณะโคดม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตาม ดังนั้นผู้เขียนจึงเกิดปิ๋งไอเดีย และจึงเกิดเป็นที่มาของ ชื่อ "ใบไม้หลายกำ (Bai Maai Laai Gum -- Multi Leaves -- http://www.multileaves.blogspot.com)" ของบล็อกแห่งนี้ ที่ท่านผู้อ่านทุกท่านกำลังอ่านอยู่ในขณะนี้ เอวังด้วยประการฉะนี้แล

บทความนี้ เขียนโดย: บุญชาย ทวีเติมสกุล - © 2009 Boonchai Thaveertermsakul



เกี่ยวกับผู้เขียน:

บุญชาย ทวีเติมสกุล เป็น นักเขียนอิสระ มีผลงานการเขียนที่เป็น บทความวิชาการ และเรื่องทั่วไป ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ลงเผยแพร่บทความทางอินเตอร์เน็ด เว็บไซต์ และ บล็อกต่างๆ อาทิ i-Prosper , i-Technology News , OZ OmniscienceZ , Erudite Owl , Neo Liners International Blog , และ Multi Leaves เป็นต้น